การฉีดน้ำเชื้อเข้าสู่โพรงมดลูก IUI คือ การนำเชื้ออสุจิ ที่ได้รับการปั่นคัดเลือกตัวที่แข็งแรง ฉีดเข้าไปในโพรงมดลูกโดยตรง โดยใช้ท่อพลาสติกขนาดเล็ก ๆ สอดผ่านปากมดลูก แล้วฉีดเชื้อ ในช่วงเดียวกันกับการตกไข่ ช่วยให้ตัวอสุจิว่ายขึ้นไป ที่ท่อนำไข่ และผสมกับไข่ง่ายขึ้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นวิธีที่เพิ่มอัตราการความสำเร็จ ของการตั้งครรภ์ จะมากกว่าวิธีธรรมชาติ
การทำ IUI โอกาสสำเร็จในการฉีดแต่ละครั้งคือ 10-15 % ซึ่งมากกว่าวิธีมีเองตามธรรมชาติ (3-4 % ต่อเดือน) ความสำเร็จของการฉีดเชื้อ จะมากกว่าธรรมชาติประมาณ 3-5 เท่า ขึ้นอยู่กับปัจจัยด้าน เชื้ออสุจิ, ฟองไข่, รวมถึงเยื่อบุโพรงมดลูก โดยอธิบายได้ดังนี้
ฝ่ายหญิง
ควรจะอายุน้อยกว่า 30 ปี หากอายุมากขึ้นความสำเร็จจะลดลง
มีปัญหาปากมดลูกหรือคอมดลูกตีบ
มีภาวะไข่ไม่ตกเรื้อรัง หรือ PCOS
ท่อนำไข่ต้องปกติทั้งสองข้าง หรืออย่างน้อยต้องดีหนึ่งข้าง
ฝ่ายชาย
มีเชื้ออสุจิที่วิ่งดีมากเพียงพอมากกว่ากว่า 5 ล้านตัวขึ้นไป
โอกาสการตั้งครรภ์จากทำ IUI คือการคัดเลือกเชื้อฉีดเข้าสู่โพรงมดลูกคือ 15-20 % ต่อรอบการรักษา ซึ่งขึ้นกับอายุของคู่สมรส, คุณภาพของน้ำเชื้อ, จำนวนฟองไข่ที่ตกในแต่ละรอบ, และสาเหตุของภาวะมีบุตรยาก การตั้งครรภ์หลังจากฉีดเชื้อส่วนใหญ่จะเป็นการตั้งครรภ์เดี่ยว มีโอกาสตั้งครรภ์แฝดประมาณ 10-15% โดยรวมวิธีนี้จะมีอัตราความสำเร็จมากกว่าการลองด้วยวิธีธรรมชาติประมาณ 3-5 เท่า
โอกาสสำเร็จของ IUI โดยทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ 15-20% ต่อรอบ
โดยที่ในแต่ละรอบที่ฉีดน้ำเชื้อ IUI ต้องเป็น IUI ที่มีประสิทธิภาพ
เนื่องจากการทำ IUI คือ การฉีดเชื้อมีหลักการใกล้เคียงกับธรรมชาติมาก สามารถทำได้ง่าย สะดวก ไม่ซับซ้อน ค่าใช้จ่ายในการรักษาไม่สูงมากนัก อัตราตั้งครรภ์สะสมดีในช่วง 3-4 รอบของการรักษา
พบว่าอัตราตั้งครรภ์ต่ำหากฉีดเกิน 4 รอบแล้วยังไม่สำเร็จ และแทบจะไม่พบความสำเร็จ กรณีฉีดเกิน 6 รอบ อธิบายได้ว่า ปัญหาที่ทำให้มีบุตรยาก ยังไม่ได้รับการรักษาหรือแก้ไขให้ตรงจุด ดังนั้นแนะนำให้มาพบแพทย์เพื่อรักษาด้วยวิธีเด็กหลอดแก้ว เพราะจะช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องการปฏิสนธิของตัวเชื้อและฟองไข่ได้ สามารถติดตามพัฒนาการของตัวอ่อนจนถึงระยะพร้อมฝังตัวได้ สามารถตัวคัดกรองหาตัวอ่อนปกติก่อนจะย้ายกลับได้ ซึ่งจะช่วยทำให้ประสบผลสำเร็จได้ง่ายขึ้น